Loading...
บทความ

ปูนา (ricefied crabs)

ปูนา เป็นศัตรูข้าวสำคัญอีกชนิดหนึ่ง พบระบาดและทำความเสียหายในข้าวทั่วทุกภาคของประเทศไทย กัดทำลายข้าวกล้าตั้งแต่ในแปลงตกกล้าและหลังจากปักดำใหม่ ในแปลงข้าวนาหว่านมักเกิดความเสียหายหลังจากเกษตรกรระบายน้ำเข้าสู่แปลงนา ความเสียหายจะลดลงเมื่อต้นข้าวมีอายุมากขึ้น


รูปร่างลักษณะ
       ปูนามีร่างกายแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนหัวกับส่วนอกเชื่อมรวมกันเรียกว่า เซฟาโลธอแรกซ์ (cephalothorax) และส่วนท้อง (abdomen) มีกระดองคลุมด้านหลังและด้ายข้างของเซฟาโลธอแรกซ์ไว้ ส่วนปากมีรยางค์ 3 คู่ช่วยในการจับอาหาร เคี้ยวอาหาร (ภาพที่ 1) ใช้เหงือกในการแลกเปลี่ยนแก๊ส รูปร่างแตกต่างกันระหว่างเพศผู้และเพศเมีย เพศเมีย ส่วนท้องเป็นแผ่นกว้าง รูปโค้งลักษณะคล้ายเล็บมือคนหรือรูปไข่ ส่วนเพศผู้มีขนาดเล็กกว่า รูปร่างคล้ายขนมเปียกปูน (ชมพูนุท, 2554)


ความเสียหายและการทำลาย

ทางตรง กัดทำลายต้นข้าว โดยปูสามารถกัดทำลายข้าวได้ตลอดวัน ยกเว้นช่วงเวลาที่แดดร้อนจัดมากๆ ปูนาจะใช้ก้ามเหนี่ยวลำต้นข้าว โดยอาศัยน้ำช่วยพยุงให้ตัวลอย และใช้รยางค์ปากกัดกินลำต้นอ่อนของข้าวเหนือพื้นดิน 3-5 เซนติเมตร จะพบต้นข้าวที่ถูกกัดลอยน้ำเป็นแพใกล้ๆ กับรูปู (ภาพที่ 2) ปกติปูจะทำลายข้าวในนาที่มีน้ำขุ่นหรือโคลนมากกว่าในนาที่มีน้ำใส (ชมพูนุท, 2554)


ทางอ้อม

- ปูนาจะขุดรูอาศัยอยู่ตามคันนา คันคูน้ำ หรือคลองชลประทาน รูปูตามคันนาทำให้น้ำรั่วควบคุมระดับน้ำไม่สะดวกและอาจทำให้คันนาพังทลาย รูปูมักเอียงเล็กน้อย เป็นรูดิ่งลึกประมาณ 1 เมตร

- เมื่อปูกัดต้นข้าวหมดทำให้บริเวณนั้นว่าง หากไม่มีการปักดำซ่อมแซม กลายเป็นแหล่งขยายพันธุ์ของวัชพืชได้ ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวอาจลดลง และปริมาณต้นข้าวต่อหน่วยเนื้อที่นาลดน้อยลง 


พื้นที่ระบาดส่วนมากเป็นพื้นที่นาน้ำฝน มีการปลูกข้าวครั้งเดียวในรอบปี ทั้งนี้อาจเนื่องจากในเขตชลประทานมีการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องกันตลอด ทำให้ในบางท้องที่ที่มีการระบาดของแมลงศัตรูข้าว และมีการใช้สารป้องกันกำจัดแมลงทุกชนิดมีผลทำให้ปูนาตาย เป็นเหตุให้ไม่พบการระบาดรุนแรง เช่น นาอาศัยน้ำฝนก็เป็นได้ (วิยะดา, 2526; ชมพูนุท, 2554)


การป้องกันและกำจัดปูนา

1. การดักจับ โดยใช้ลอบดักปลาดักในนาตามทางน้ำไหล หรือขุดหลุมฝังไหหรือปี๊บข้างคันนาที่เป็นโคลนตมให้ขอบภาชนะอยู่ระดับพื้นดินใส่เศษปลาหรือกะปิที่มีกลิ่นแรงเป็นเหยื่อ (ภาพที่ 3)


เมื่อดักปูได้แล้วนำไปทำลายหรือสามารถนำไปปรุงอาหาร ใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด (ภาพที่ 2) นอกจากจะได้คุณค่าทางอาหารเหมือนกับเนื้อสัตว์อื่นๆ ทั่วไปแล้ว ยังช่วยด้านการป้องกันกำจัดได้เป็นอย่างดี
ลดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมี ลดการตกค้างและผลกระทบที่เกิดจากสารเคมี

2. การระบายน้ำออก ระบายน้ำออกจากนาทันทีหลังปักดำ หรือระบายน้ำออกเมื่อต้นข้าวตั้งตัว และปล่อยน้ำเข้าใหม่ประมาณ 15 - 20 วัน เหมาะสำหรับนาข้าวในเขตนาชลประทานหรือนาข้าวที่สามารถควบคุมระดับน้ำได้

3. การใช้ต้นกล้าที่แข็งแรง ในพื้นที่ที่ไม่สามารถระบายน้ำออกได้เนื่องจากสภาพพื้นที่ไม่อำนวย ควรใช้ต้นกล้าที่แข็งแรงและอายุมากกว่า 30 - 35 วัน เนื่องจากปูชอบเข้าทำลายต้นข้าวที่มีอายุน้อยมากกว่าต้นข้าวอายุมาก

4. การใช้สารเคมี ได้แก่

- เฟนิโตรไทออน (fenitrothion) อัตรา 40 มิลลิลิตร/ไร่

- อีโทเฟนพรอกซ์ (etofenprox) อัตรา 40 มิลลิลิตร/ไร่

- เฟนไทออน (fenthion) อัตรา 80 มิลลิลิตร/ไร่


วิธีใช้

- ผสมน้ำ ฉีดในนาข้าว ทันทีหลังปักดำ หรือวันแรกที่ระบายน้ำเข้านา ในนาหว่าน

- ใช้ขณะมีน้ำสูง 10 เซนติเมตร


ข้อควรระวัง

ใช้สารเคมีตามคำแนะนำ โดยใช้ในอัตราส่วนที่ถูกต้องตามอัตราที่แนะนำเท่านั้น และใช้เมื่อพบการทำลายรุนแรง ไม่ควรใช้สารเคมีที่กรมการข้าวไม่แนะนำให้ใช้ในนาข้าว เช่น สารอะบาเม็กติน หรือสารไซเพอร์เมทริน